บนเวที Semafor World Economy Summit 2025 ราช สุบรามาเนียม (Raj Subramaniam) ซีอีโอของ FedEx เปิดเผยว่า บริษัทกำลังใช้การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อรับมือกับความผันผวนของการค้าระดับโลก รวมถึงผลกระทบจาก “ภาษี” ที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่ โดยเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้ FedEx สามารถจัดการกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรายนาที และคาดการณ์แนวโน้มต่าง ๆ ได้แม่นยำยิ่งขึ้น

สุบรามาเนียม กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดทำให้บริษัทต่าง ๆ ตระหนักถึงความสำคัญของห่วงโซ่อุปทาน และ FedEx ได้พัฒนาพันธกิจเพื่อทำให้ห่วงโซ่อุปทาน “ฉลาดขึ้น” สำหรับทุกคน โดยได้สร้าง “ดิจิทัลทวิน” ของเครือข่ายการขนส่งทั่วโลก และนำ AI และ Machine Learning มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสในด้านโลจิสติกส์ ปัจจุบัน FedEx ยังบูรณาการข้อมูลโดยตรงกับเว็บไซต์ของลูกค้ารายใหญ่ เพื่อให้สามารถแนะนำจุดจัดส่งสินค้าที่ดีที่สุดและคาดการณ์เวลาการจัดส่งได้อย่างแม่นยำ โดยระบบจะพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น สภาพอากาศและการจราจร
ซีอีโอ FedEx กล่าวว่า ระบบอัตโนมัติถูกนำมาใช้ในกระบวนการรับส่งพัสดุทั้งหมดที่ศูนย์กระจายสินค้า และขณะนี้กำลังทดลองใช้หุ่นยนต์เพื่อช่วยในการโหลดและขนถ่ายสินค้าขึ้นลงรถบรรทุก ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้แรงงานคนซ้ำ ๆ การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาช่วยให้ FedEx ลดต้นทุนไปได้ถึง 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น
สุบรามาเนียมยกตัวอย่างความซับซ้อนของการค้าระดับโลก โดยอธิบายถึงกรณีลูกค้าที่ผลิตป้ายไฟนีออน ซึ่งปัจจุบันต้องมีรหัสจำแนกสินค้าที่แตกต่างกันถึง 200 รหัส จากเดิมที่ใช้เพียงรหัสเดียว FedEx มีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ลูกค้าเพื่อให้สินค้าผ่านพิธีการศุลกากรได้
แม้จะมีการนำเทคโนโลยีมาใช้มากมาย ซีอีโอ FedEx ย้ำว่า โดยพื้นฐานแล้ว FedEx ยังคงเป็น “บริษัทที่ให้ความสำคัญกับบุคลากร” โดยมีวัฒนธรรมองค์กรเป็นแรงขับเคลื่อนประสิทธิภาพ ความแตกต่างระหว่างพนักงานที่ทำงานแค่ให้ผ่านพ้นไป กับพนักงานที่ทุ่มเทเกินความคาดหมายเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยม คือปัจจัยชี้วัดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของบริษัท