รัฐบาลจีนได้เปิดเผยแผนปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดของอุตสาหกรรมการผลิตระบบกักเก็บพลังงานใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายจำนวนบริษัทชั้นนำภายในปี 2027 เสริมสร้างนวัตกรรมและความสามารถในการแข่งขัน และบรรลุการเติบโตของอุตสาหกรรมระดับไฮเอนด์ อัจฉริยะ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

แผนดังกล่าว ซึ่งออกร่วมกันโดย 8 หน่วยงาน รวมถึงกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (MIIT) เมื่อวันจันทร์ที่ 17 ก.พ. 2025 ผ่านมา มุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมการพัฒนาที่มีคุณภาพสูงในการผลิตระบบกักเก็บพลังงานใหม่
แผนระบุว่าอุตสาหกรรมระบบกักเก็บพลังงานใหม่เป็นแหล่งสนับสนุนที่สำคัญสำหรับการขับเคลื่อนการสร้างฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง และส่งเสริมการพัฒนาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรพลังงานใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ
จีนเปิดตัวแผนปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตระบบกักเก็บพลังงานใหม่แบบครบวงจร โดยมีเป้าหมายหลักดังนี้:
- สร้างผู้นำอุตสาหกรรม: บ่มเพาะบริษัทชั้นนำ 3-5 แห่งภายในปี 2027 และสร้างกลุ่มอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง
- ส่งเสริมนวัตกรรม: ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น blockchain, AI, 5G และโรงงานอัจฉริยะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการควบคุมคุณภาพ
- ลดต้นทุน: เน้นการบูรณาการเทคโนโลยีใหม่และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุนการกักเก็บพลังงาน
- ความมั่นคงด้านทรัพยากร: สนับสนุนการสำรวจทรัพยากรแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น ลิเธียม, โคบอลต์, นิกเกิล และกระจายแหล่งทรัพยากรจากต่างประเทศ
- การพัฒนาที่ยั่งยืน: ส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, การรีไซเคิล และการใช้วัสดุรีไซเคิล
- ตอบสนองความต้องการ: พัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของภาคส่วนต่างๆ เช่น พลังงาน, อุตสาหกรรม, การขนส่ง และการเกษตร
- นโยบายสนับสนุน: จีนออกนโยบาย 770 ฉบับในปี 2024 เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ โดยเน้นที่แผนพัฒนา, การบูรณาการระบบกักเก็บพลังงาน, การควบคุมตลาดไฟฟ้า และโครงการเงินอุดหนุน
- การเติบโตอย่างรวดเร็ว: ณ สิ้นปี 2024 กำลังการผลิตติดตั้งของโครงการกักเก็บพลังงานใหม่ในจีนเพิ่มขึ้นมากกว่า 130% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2023 แตะ 73.76 ล้านกิโลวัตต์
แผนเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการปฏิวัติพลังงานของจีนและบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน นโยบายส่วนใหญ่เน้นไปที่แผนการพัฒนา การบูรณาการระบบกักเก็บพลังงานใหม่ การควบคุมตลาดไฟฟ้า และโครงการเงินอุดหนุน
ที่มา : https://www.globaltimes.cn/page/202502/1328598.shtml