ใส่ใจสิ่งแวดล้อม DHL Supply Chain ประเทศไทย จับมือกับมิชลิน เปิดตัวรถหัวลากไฟฟ้า 100% เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050

รถหัวลากไฟฟ้าคันนี้ทำอะไรได้บ้าง?
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 195 ตันต่อปี
- วิ่งขนส่งวัตถุดิบระหว่างโรงงานของมิชลิน
- ใช้ยางมิชลินรุ่นพิเศษที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน
- ชาร์จเต็มภายใน 2 ชั่วโมง วิ่งได้ไกลถึง 350 กิโลเมตร
- วิ่งในเส้นทางหลัก 2 เส้นทาง: พระประแดง-หนองแค และ พระประแดง-แหลมฉบัง
ทำไม DHL และมิชลินถึงร่วมมือกัน?
- ทั้งสองบริษัทมีเป้าหมายเดียวกันคือ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050
- DHL ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระบบขนส่งของตัวเอง
- มิชลินต้องการพัฒนาระบบขนส่งที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- การร่วมมือกันครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อพัฒนาระบบขนส่งที่ปลอดภัย ยั่งยืน และเป็นวงจร
เทคโนโลยีที่ใช้:
ระบบติดตามและเทเลเมติกส์ของ DHL ที่ใช้ AI ช่วยลดการใช้พลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพรถ และวางแผนเส้นทางที่ดีที่สุด รวมถึงระบบจัดการการขนส่ง (TMS), ระบบวางแผนเส้นทาง Paragon, เทเลเมติกส์ และแพลตฟอร์มดิจิทัล MySupplyChain ของ DHL ช่วยควบคุมการทำงานของรถ นอกจากนี้ยังมีกล้องออนบอร์ดที่ใช้ AI ช่วยแจ้งเตือนเหตุการณ์แบบเรียลไทม์ และยางมิชลินรุ่นพิเศษที่ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ
ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม:
- เป็นต้นแบบของการขนส่งสีเขียวในประเทศไทย
- กระตุ้นให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในระบบขนส่งมากขึ้น
- แสดงให้เห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้าสามารถใช้ในการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ได้จริง
- ช่วยให้อุตสาหกรรมขนส่งเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น
ความมุ่งมั่นของมิชลิน:
การร่วมมือครั้งนี้สนับสนุนกลยุทธ์ “Michelin in Motion” ที่เน้นความยั่งยืน มิชลินมุ่งมั่นที่จะใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุหมุนเวียน 100% ในยางรถยนต์ภายในปี 2050 มิชลินได้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 1 และ 2 ลง 37% ภายในปี 2024 พร้อมตั้งเป้าหมายที่จะทำให้ยางรถยนต์มีการหมุนเวียน 100% ภายในปี 2050
การร่วมมือกันครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบขนส่งที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย และเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ทั่วโลก