นับตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมา บริษัทโลจิสติกส์ยักษ์ใหญ่อย่าง DSV และ Schenker ได้รวมกิจการเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ชื่อ DSV การควบรวมกิจการครั้งสำคัญนี้ได้ยกระดับสถานะของ DSV ให้เป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์ระดับโลกอย่างแข็งแกร่ง ด้วยจำนวนพนักงานรวมกันถึง 160,000 คน และรายได้ต่อปีโดยประมาณ 46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

Jens H. Lund ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ DSV กล่าวว่า “ด้วยการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ เราได้ก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นชั้นนำระดับโลกในด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ในช่วงเวลาที่ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกได้รับความสนใจมากกว่าที่เคยเป็นมา การรวมสองบริษัทเข้าด้วยกันจะสร้างแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นและเป็นเอกลักษณ์สำหรับการเติบโตทางการเงินในระยะยาว”
DSV ได้เข้าซื้อกิจการ Schenker คู่แข่งสัญชาติเยอรมันจาก Deutsche Bahn เมื่อเดือนกันยายน 2024 ด้วยมูลค่า 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นธุรกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ DSV การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับ DSV ในตลาดขนส่งสินค้าของเยอรมนี ครอบคลุมทั้งการขนส่งทางทะเล ทางบก ทางราง และทางอากาศ โดย DSV มีแผนที่จะขยายธุรกิจในเยอรมนีอย่างมาก ทำให้บริษัทที่รวมกันใหม่นี้มีจำนวนพนักงานในเยอรมนีมากกว่าจำนวนพนักงานของทั้งสองบริษัทเมื่อแยกกัน
บริษัทที่รวมกันใหม่นี้ให้ความสำคัญกับความต่อเนื่องทางธุรกิจ และมุ่งมั่นที่จะรักษาฐานลูกค้าเดิมของ Schenker ไว้ให้ได้มากที่สุด โดย DSV ให้คำมั่นว่าจะดำเนินการเปลี่ยนผ่านอย่างราบรื่น และจะเข้าสู่กระบวนการรวมกิจการด้วยความเคารพและความใส่ใจต่อลูกค้า พนักงาน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยมีเป้าหมายหลักคือการหลีกเลี่ยงการหยุดชะงักและรักษามาตรฐานการบริการระดับสูง
สำหรับ DSV การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ส่งผลดีในทันที โดยบริษัทได้ปรับประมาณการรายได้ คาดการณ์ว่าจะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) เพิ่มขึ้นอีก 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ จากการดำเนินงานของ Schenker อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เตือนถึงความไม่แน่นอนในสถานการณ์การค้าโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการเต็มปี 2025 นอกจากนี้ DSV คาดว่าจะไม่มีผลกระทบทางการเงินอย่างมีนัยสำคัญจากโครงการ NEOM ของซาอุดีอาระเบียในปี 2025 แม้ว่าจะเป็นพันธมิตรหลักในโครงการดังกล่าว แต่มีการปรับลดขนาดโครงการลงในช่วงที่ผ่านมา