ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ Jake Sullivan กล่าวในการแถลงข่าวที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 29 ส.ค. 2024 ที่ผ่านมาว่า “สหรัฐฯ จะยังคงดำเนินการที่จำเป็นต่อไปเพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีขั้นสูงของสหรัฐฯ ถูกนำไปใช้เพื่อบ่อนทำลายความมั่นคงแห่งชาติของเรา โดยเชื่อว่าการแข่งขันกับจีนไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความขัดแย้งหรือการเผชิญหน้า”

คณะเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เดินทางเยือนจีนเป็นเวลา 3 วัน ซึ่งรวมถึงการประชุมกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงด้วย
2 เหตุการณ์ที่ผ่านมา ที่สหรัฐฯ มุ่งเป้าไปที่จีน
- ในเดือนมิถุนายน 2024 กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ได้ประกาศร่างกฎหมายที่ห้ามหรือกำหนดให้ต้องแจ้งการลงทุนบางส่วนในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีอื่น ๆ ในจีน หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวว่า “การดำเนินการดังกล่าวมีความจำเป็นเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติ” ข้อจำกัดดังกล่าวทำให้ผู้ผลิตชิปอย่าง Intel และ Nvidia ตัดสินใจเปิดตัวชิปเซ็ต AI เฉพาะสำหรับจีนที่มีสเปกต่ำกว่าเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการคว่ำบาตรการส่งออกของสหรัฐฯ
- ในเดือนกรกฎาคม 2024 OpenAI ตัดการเข้าถึง API จากจีน ส่งผลให้ ChatGPT ไม่สามารถใช้งานได้ในประเทศจีน แต่ API ของบริษัทยังคงเปิดให้นักพัฒนาและสตาร์ทอัพในจีนที่ต้องการสร้างแอปพลิเคชันเข้าถึงได้ ตามรายงานของ OpenAI การดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของบริษัทในการบล็อกปริมาณการใช้งาน API จากภูมิภาคที่บริการของบริษัทไม่ได้รับการรองรับ
ความคิดเห็นจากฝั่งสหรัฐฯ
เมื่อ Jake Sullivan ถูกถามว่า “สหรัฐจะยังคงใช้มาตรการจำกัดเทคโนโลยีดังกล่าวต่อไปหรือไม่”
“เราต้องจำกัดการใช้มาตรการบางอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าเทคโนโลยีขั้นสูงจะไม่ถูกใช้เพื่อต่อต้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ” นี่คือคำตอบและ Jake Sullivan กล่าวเสริมว่า “แม้ว่าความพยายามทางการทูตจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ แต่ทั้งสองฝ่ายยังคงสามารถดำเนินการเพื่อชี้แจงการรับรู้ที่ผิดพลาดและลดความเสี่ยงของการคำนวณผิดพลาดได้”
Jake Sullivan ตั้งข้อสังเกตว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนยังคงมีการแข่งขัน และควรได้รับการจัดการอย่าง “รับผิดชอบ” โดยการทูตระหว่างทั้งสองฝ่าย “ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ”
ความคิดเห็นจากฝั่งจีน
นาย Xie Feng เอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐฯ กล่าวว่า “เส้นทางการปฏิรูปและการเปิดประเทศของจีนที่มุ่งสู่ความทันสมัยในปัจจุบันได้นำมาซึ่งโอกาสสำหรับสหรัฐฯ และโลก”
นาย Xie Feng กล่าวถึงความร่วมมือว่าเป็น “ทางเลือกเดียวที่ถูกต้องสำหรับทั้งสองประเทศ” พร้อมกล่าวเสริมต่อว่า “ความพยายามของจีนในการปรับปรุงให้ทันสมัยเป็น “ประตู” สำหรับให้โลกเข้าใจเศรษฐกิจของเอเชีย ทั้งจะกำหนดทิศทางในอนาคตของจีนและมีอิทธิพลต่อโลกอย่างมีนัยสำคัญ”
สงครามการค้า สงครามอุตสาหกรรม หรือสงครามเทคโนโลยีก็ไม่ได้ทำให้มีผู้ชนะ โดยจีนพยายามเรียกร้องให้ภาคเศรษฐกิจทั้งสองประเทศขยายความร่วมมือทวิภาคีทั้งในด้านดั้งเดิมและด้านใหม่ รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการค้า
ในอดีตความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในช่วง 45 ปีที่ผ่านมา เมื่อมีการทำงานร่วมกัน ทั้งสองประเทศและประชาชนก็จะมีชีวิตที่ดีตามมาด้วยเช่นกัน แต่หากหันหลังให้กัน ทั้งสองฝ่ายและโลกจะต้องประสบกับความเดือดร้อน
เราจะเห็นความร่วมมืออย่างชัดเจนในโรงงาน Gigafactory ของ Tesla ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งปัจจุบันผลิตได้มากกว่า 950,000 คันต่อปี และผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายนี้กำลังสร้างโรงงานขนาดใหญ่เสร็จไปแล้วครึ่งทางหลังจากเริ่มก่อสร้างได้ 3 เดือน และ Apple ก็กำลังเพิ่มการลงทุนในจีนและขยายศูนย์วิจัยประยุกต์ในเซี่ยงไฮ้ โดยมีแผนจะเปิดห้องทดลองใหม่ในเซินเจิ้น
นาย Xie Feng กล่าวปิดท้ายว่า “การลงทุนในจีนของบริษัทฯ จากสหรัฐฯ บ่งชี้ถึงศักยภาพของความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างจีนและสหรัฐฯ โดยทั้ง 2 ประเทศคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลกและประมาณ 1 ใน 5 ของการค้าโลก” ซึ่งปริมาณการค้าทวิภาคีระหว่างสองเศรษฐกิจเติบโตขึ้นมากกว่า 200 เท่าในช่วง 45 ปีที่ผ่านมาจนเกิน 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี”
“ความร่วมมือนี้ เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งและแยกจากกันไม่ได้โดยพื้นฐานอยู่แล้ว” นาย Xie Feng กล่าวสรุป