พลิกโฉมวงการรถยนต์ : 6 เมกะเทรนด์สำคัญที่จะเปลี่ยนโลกยานยนต์ภายใน 5 ปีข้างหน้า

อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังมุ่งหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากเทรนด์เทคโนโลยีและความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งรวมถึง ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) การขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous Driving) การเชื่อมต่อ (Connectivity) ความยั่งยืน (Sustainability) และ รูปแบบการเดินทางแบบ Mobility-as-a-Service (MaaS) บทความนี้จะเจาะลึกถึงเทรนด์เหล่านี้ วิเคราะห์ผลกระทบต่อผู้ผลิตรายใหญ่ ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ และผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาด รวมถึงแบรนด์รถยนต์จากจีน

บทความนี้ยังจะนำเสนอตัวอย่างบริษัทชั้นนำ เทคโนโลยีล้ำสมัย และกรณีศึกษาในโลกแห่งความจริง เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสามารถมองเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต

1. ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มาแรง : อนาคตอยู่กับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า

การเปลี่ยนไปใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) นับเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญที่เปลี่ยนโฉมวงการรถยนต์ ทั้งในด้านกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาโซลูชันการเดินทางที่ยั่งยืน เทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การสนับสนุนจากภาครัฐ และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จไฟฟ้าที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ล้วนส่งเสริมการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า แรงผลักดันจากนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยเฉพาะในยุโรปและจีน ยิ่งเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า

ตัวอย่าง:

  • Tesla ยังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า พัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ รถยนต์ที่มีระยะวิ่งที่ไกลขึ้น และฟีเจอร์การขับขี่อัตโนมัติ เทสลามีการเปิดตัวรถกระบะไฟฟ้า (Cybertruck) และโรงงานผลิตแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ Gigafactories ส่งผลให้เทสลายังคงเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนอนาคตของรถยนต์ไฟฟ้า
  • BYD หนึ่งในผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ขยายผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว บริษัท BYD จากจีนได้กลายเป็นผู้นำทั้งในด้านรถยนต์โดยสารและรถบัสไฟฟ้า โดยใช้ประโยชน์จากแรงจูงใจที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและตลาดในประเทศที่แข็งแกร่ง ยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าของบริษัทพุ่งสูงขึ้น ทำให้ BYD อยู่ในตำแหน่งผู้นำระดับโลกด้านการใช้ไฟฟ้า

2. ยานยนต์ไร้คนขับ ก้าวสู่ยุคแห่งการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ

เทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยการแข่งขันพัฒนารถยนต์ขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ (ระดับ 5) ได้รับแรงผลักดันอย่างมากจากความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเรียนรู้ของเครื่องจักร และเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเปลี่ยนผ่านจากระบบกึ่งอัตโนมัติ เช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติและระบบช่วยรักษาช่องจราจร ไปสู่ยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากต่อความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และอนาคตของการเป็นเจ้าของรถยนต์

ตัวอย่าง:

  • Waymo (Alphabet Inc.) หน่วยธุรกิจด้านยานยนต์ไร้คนขับของ Alphabet Inc. บริษัทแม่ของ Google กำลังเป็นผู้นำในการพัฒนายานยนต์ไร้คนขับระดับ 4 และ 5 บริการเรียกรถโดยสารแบบไร้คนขับของ Waymo ซึ่งปัจจุบันให้บริการในบางพื้นที่ ถือเป็นหนึ่งในแอปพลิเคชันเชิงพาณิชย์รายแรกของเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ
    • แหล่งที่มา: Waymo
  • Geely ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของจีน กำลังลงทุนอย่างหนักในเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ ผ่านบริษัทในเครือ และ Volvo Cars รวมถึงความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ Geely กำลังพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติขั้นสูง และมีแผนจะเปิดตัวรถยนต์ไร้คนขับเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้
    • แหล่งที่มา: Geely

3. การเชื่อมต่อและการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล: ยานยนต์อัจฉริยะและเชื่อมต่อ

การเชื่อมต่อกับโลกภายนอกกำลังปฏิวัติประสบการณ์การขับขี่ ทำให้รถยนต์กลายเป็นศูนย์กลางข้อมูลและความบันเทิงแบบเคลื่อนที่ การเชื่อมต่อยังมีบทบาทสำคัญด้านความปลอดภัยและการวินิจฉัยปัญหา การอัปเดตซอฟต์แวร์แบบไร้สาย (OTA), การสื่อสารระหว่างยานพาหนะ (V2X) และเทเลเมติกส์ขั้นสูง กำลังเพิ่มประสิทธิภาพการโต้ตอบแบบเรียลไทม์กับโครงสร้างพื้นฐานและยานพาหนะอื่น ๆ ปูทางไปสู่เมืองอัจฉริยะและระบบนิเวศการเดินทางที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น

ตัวอย่าง

  • BMW iDrive 8 ระบบแพลตฟอร์มดิจิทัลอันล้ำสมัยของ BMW ที่มอบการนำทางแบบเรียลไทม์ การสั่งงานด้วยเสียง และฟังก์ชันการควบคุมรถยนต์ รองรับการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันบนมือถือและการอัปเดตซอฟต์แวร์แบบไร้สาย ถือเป็นตัวอย่างสำคัญของการผลักดันสู่การเชื่อมต่ออัจฉริยะในอุตสาหกรรม
    • แหล่งที่มา: BMW Group
  • NIO ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน ผสานรวมฟีเจอร์การเชื่อมต่อขั้นสูงเข้ากับรถยนต์ของตน เช่น ระบบขับขี่อัตโนมัติ NIO Pilot และ NIO House พื้นที่อัจฉริยะที่ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับรถยนต์และชุมชน NIO
    • แหล่งที่มา: NIO

4. ความยั่งยืนและการผลิตสีเขียว: การปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจหมุนเวียน

ความยั่งยืนมีความสำคัญมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมยานยนต์ ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุในการผลิตไปจนถึงการขับเคลื่อนยานพาหนะ ผู้ผลิตรถยนต์กำลังให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่เป็นกลางทางคาร์บอน การใช้พลังงานทดแทน และการรีไซเคิลเพื่อลดขยะ นอกจากนี้ บริษัทหลายแห่งยังนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้เพื่อยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของยานพาหนะ

ตัวอย่าง:

  • Volvo Cars มุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2040 บริษัทฯ มุ่งเน้นการผลิตจากวัสดุรีไซเคิลและพลังงานหมุนเวียน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากกระบวนการผลิต โมเดลธุรกิจแบบ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” ของ Volvo มีเป้าหมายเพื่อนำชิ้นส่วนจากรถยนต์เก่ากลับมาใช้ใหม่และนำวัสดุกลับมาใช้ในรุ่นใหม่
    • แหล่งที่มา: Volvo Cars
  • BYD ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำด้านการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้เล่นสำคัญในด้านการผลิตสีเขียว บริษัทฯ ใช้วัสดุที่ยั่งยืนและกระบวนการผลิตที่ประหยัดพลังงานในโรงงานผลิต EV ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายการผลิตที่เป็นกลางทางคาร์บอน
    • แหล่งที่มา: BYD

5. Mobility-as-a-Service (MaaS): อนาคตของการเดินทาง

Mobility-as-a-Service (MaaS) กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าการเดินทางของผู้คน จากการเป็นเจ้าของรถยนต์ไปสู่รูปแบบการเข้าถึงบริการ บริการเรียกรถ เช่ารถจักรยานยนต์ และบริการเรียกใช้ตามความต้องการอื่น ๆ กำลังถูกผสานรวมเข้ากับชีวิตประจำวันมากขึ้น MaaS มีศักยภาพในการลดการเป็นเจ้าของรถยนต์ โดยเฉพาะในพื้นที่เมือง พร้อมทั้งเพิ่มความสะดวกสบายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ตัวอย่าง:

  • Uber และ Lyft ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านการเรียกรถ ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อวิธีการเดินทางของผู้คน บริษัททั้งสองยังคงขยายบริการ รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไร้คนขับ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการเดินทางแบบเรียกใช้ตามต้องการที่เพิ่มขึ้น
    • แหล่งที่มา: Uber
    • แหล่งที่มา: Lyft
  • Didi Chuxing บริการเรียกรถที่ใหญ่ที่สุดของจีน ได้ผสานรวมรถยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไร้คนขับเข้ากับบริการของตน บริษัทฯ กำลังเป็นผู้นำในการปฏิวัติ MaaS ในประเทศจีนและขยายธุรกิจไปทั่วโลก โดยให้บริการตั้งแต่บริการแท็กซี่ไปจนถึงบริการเรียกรถระยะไกล

6. วัสดุขั้นสูงและเทคโนโลยีน้ำหนักเบา : เสริมสมรรถนะและยั่งยืน

ความต้องการรถยนต์ที่มีน้ำหนักเบา ทนทาน และประหยัดพลังงานมากขึ้น กำลังผลักดันให้เกิดการใช้วัสดุขั้นสูง เช่น คาร์บอนไฟเบอร์ อลูมิเนียมอัลลอย และวัสดุคอมโพสิต การลดน้ำหนักรถยนต์ช่วยลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ และเสริมสร้างความปลอดภัย นวัตกรรมเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มระยะทางการขับขี่สูงสุด

ตัวอย่าง:

  • Tesla ยังคงเดินหน้าพัฒนาวัสดุน้ำหนักเบาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้อลูมิเนียมและวัสดุคอมโพสิตขั้นสูงในการผลิตยานพาหนะที่มีทั้งประสิทธิภาพด้านพลังงานและสมรรถนะสูง Model S และ Model 3 ได้รับประโยชน์จากการใช้วัสดุน้ำหนักเบา ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของแบตเตอรี่และระยะทางการขับขี่
  • Xpeng Motors เอ็กซ์เพง มอเตอร์ส สตาร์ทอัพยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน ใช้อะไหล่เหล็กที่มีความแข็งแรงสูงและวัสดุคอมโพสิตน้ำหนักเบาในรถยนต์ของตนเพื่อเพิ่มทั้งความปลอดภัยและประสิทธิภาพ รถยนต์ซีดานรุ่น P7 ของเอ็กซ์เพง เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการผสมผสานวัสดุน้ำหนักเบาเพื่อเพิ่มระยะทางการขับขี่ของรถยนต์ไฟฟ้า

ที่มา : https://www.all-about-industries.com/6-megatrends-shaping-the-automotive-industry-a-6ee3eb24bdc4547597a145e91857b5e4/

About pawarit

Check Also

MAT IIOT Connect – ข้อมูลชัด ตัดสินใจง่าย เพิ่มประสิทธิภาพได้ทุกวัน

ในยุคโรงงาน 4.0 ข้อมูลคือหัวใจของการตัดสินใจ “การมองเห็นภาพรวม” และ “การตัดสินใจจากข้อมูลจริง” คือสิ่งที่ทำให้โรงงานอยู่รอดและเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ MAT IIOT Connect คือโซลูชัน IoT ที่พัฒนาโดย MAT เพื่อตอบโจทย์องค์กรการผลิตในยุคใหม่โดยเฉพาะ

Xerox ปิดดีลใหญ่ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ควบรวม Lexmark ขึ้นแท่นผู้นำอุตสาหกรรมการพิมพ์ รับยุค Hybrid Work

Xerox Holdings Corporation ประกาศเสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการ Lexmark International, Inc. จาก Ninestar Corporation, PAG Asia Capital และ Shanghai …