ท่ามกลางความผันผวนของสงครามการค้าและการตั้งกำแพงภาษี บริษัท Honda ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสองของญี่ปุ่น ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญในการย้ายฐานการผลิตรถยนต์ Civic Hybrid กลับไปยังสหรัฐอเมริกา โดยมีปัจจัยหลักมาจากนโยบายภาษีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศใช้

เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อทรัมป์ประกาศเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้าที่ผลิตในเม็กซิโก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อ Honda เนื่องจากประมาณ 80% ของรถยนต์ Honda ที่ผลิตในเม็กซิโกถูกส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งในปีที่ผ่านมา Honda สามารถทำยอดขายรถยนต์และรถบรรทุกในสหรัฐฯ ได้ถึง 1.4 ล้านคัน นอกจากนี้ ประมาณ 40% ของยอดขาย Honda ในสหรัฐฯ มาจากการนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งทำให้บริษัทเสี่ยงต่อการถูกตอบโต้ด้วยภาษี เนื่องจาก Honda ยังส่งออกรถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐฯ ประมาณ 60,000 คันไปยังเม็กซิโกและแคนาดา
เดิมที เม็กซิโกถูกเลือกให้เป็นฐานการผลิตรถยนต์ Civic Hybrid เนื่องจากต้นทุนการผลิตรถยนต์ในแคนาดาและอินเดียน่าเพิ่มสูงขึ้น แต่การเก็บภาษีใหม่นี้ได้เปลี่ยนแปลงแผนการทั้งระยะสั้นและระยะยาวอย่างสิ้นเชิง
แผนการผลิตใหม่คือการย้ายไปยังโรงงานของ Honda ในเมืองกรีนสเบิร์ก ซึ่งปัจจุบันผลิตรถยนต์รุ่น CR-V โดยแผนการผลิต Civic รุ่นต่อไปในเม็กซิโกเดิมทีมีกำหนดจะเริ่มในเดือนพฤศจิกายน 2027 แต่ตอนนี้ถูกเลื่อนออกไปเป็นเดือนพฤษภาคม 2028
การย้ายฐานการผลิตครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะทางการเมืองของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งประธานาธิบดีได้กล่าวถึงบริษัทผลิตรถยนต์ในสุนทรพจน์ต่อรัฐสภา โดยหวังว่าจะเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ
ในปีที่ผ่านมา รถยนต์ Civic ถูกขายไปมากกว่า 240,000 คันทั่วสหรัฐฯ ทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซินและรุ่นไฮบริดมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 21% ทำให้ Civic เป็นรถยนต์ที่ขายดีที่สุดอันดับสองของ Honda รองจาก CR-V เมื่อเริ่มการผลิต โรงงานมีแผนที่จะผลิตรถยนต์ประมาณ 210,000 คันต่อปี หากโรงงานไม่สามารถบรรลุเป้าหมายนั้น Honda จะพิจารณานำเข้าจากประเทศที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาษี