Microsoft เสียบัลลังก์แชมป์บริษัทมูลค่าสูงสุดของโลกให้กับ Nvidia ผู้ผลิตชิปโปรเซสเซอร์ระดับไฮเอนด์ครองตลาด AI

มูลค่าตลาดของ Nvidia เพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเวลาเพียง 9 เดือนในเดือนกุมภาพันธ์ และใช้เวลาเพียง 3 เดือนขึ้นมาแตะที่ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน ปัจจุบันหุ้นของ Nvidia เพิ่มขึ้น 3.7% เป็น 135.87 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 3.341 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โค่นแชมป์เก่า Microsoft หล่นไปรั้งอันดับ 2 แทน โดย Nvidia ขึ้นมายืนอยู่บนสุดของบังลังก์แชมป์ด้วยแรงหนุนจากโปรเซสเซอร์ระดับไฮเอนด์ซึ่งมีบทบาทสำคัญในตลาด AI

ก่อนหน้านี้ Nvidia ได้แซง Apple ขึ้นมารั้งอันดับ 2 และใช้ระยะเวลาไม่นานสามารถโค่นแชมป์จากยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ซึ่งปัจจุบันหุ้นของบริษัทฯ ลดลง 0.5% ทำให้มีมูลค่าในตลาดหุ้นลดลงมาอยู่ที่ 3.314 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับอันดับ 3 คือ Apple หุ้นร่วงลง 1.2% ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 3.280 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

Nvidia ยังกลายเป็นบริษัทที่มีการซื้อขายมากที่สุดใน Wall Street โดยมีมูลค่าการซื้อขายรายวันเฉลี่ยอยู่ที่ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปัจจุบันผู้ผลิตชิปมีสัดส่วนประมาณ 16% ของการซื้อขายทั้งหมดใน S&P 500

ความกระหายที่ไม่รู้จักพอสำหรับโปรเซสเซอร์ AI ของ Nvidia ซึ่งถูกมองว่าเหนือกว่าข้อเสนอของคู่แข่ง นักลงทุนจำนวนมากมองว่า Nvidia เป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจนถึงปัจจุบันจากการพัฒนา AI ที่เพิ่มมากขึ้น

ที่มา : https://www.itnews.com.au/news/nvidia-eclipses-microsoft-as-worlds-most-valuable-company-608927

About pawarit

Check Also

ซีเมนส์ ประกาศลดพนักงานกว่า 6,000 ตำแหน่งในกลุ่มธุรกิจระบบอัตโนมัติและยานยนต์ไฟฟ้า ภายในปี 2027

บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างซีเมนส์ (Siemens) ประกาศแผนการปรับลดพนักงานกว่า 6,000 ตำแหน่งทั่วโลกในธุรกิจระบบอัตโนมัติ (Automation) และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อ “เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก” การปรับลดครั้งนี้คิดเป็นประมาณ 2% ของพนักงานทั้งหมดของบริษัท

ไทยเตรียมออกกฎหมาย “ตรวจสอบสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม” สร้างมาตรฐานใหม่ความรับผิดชอบธุรกิจ

ประเทศไทยประกาศความมุ่งมั่นที่จะยกระดับความรับผิดชอบของภาคธุรกิจ ด้วยการร่างกฎหมายบังคับให้บริษัทต่าง ๆ ต้องทำการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่อุปทานของตนเอง กฎหมายนี้จะสร้างมาตรฐานใหม่ในการดำเนินธุรกิจและเสริมสร้างความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน