รายงานจาก Frost & Sullivan (F&S) ชี้ว่า ปี 2025 กำลังก้าวขึ้นเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของภาคอุตสาหกรรม เมื่อระบบที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI), การวิเคราะห์บนคลาวด์ และการเชื่อมต่อความเร็วสูง กำลังหลอมรวมเพื่อปรับโฉมการดำเนินงานในโรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน

นักวิเคราะห์ระบุ 8 แนวโน้มสำคัญที่กำลังปรับเปลี่ยนระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรม โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของ AI ในการขับเคลื่อนเป้าหมายสำคัญทางธุรกิจอย่างการลดการหยุดทำงานให้เป็นศูนย์ ความก้าวหน้าเหล่านี้ไม่เพียงแต่ปรับปรุงประสิทธิภาพ แต่ยังกำหนดกลยุทธ์การผลิตใหม่ ส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรม และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันใหม่ ๆ ซึ่งประกอบด้วย:
- การสร้างศูนย์กลางระบบอัตโนมัติระดับโลก: เพื่อสร้าง Synergy ข้ามอุตสาหกรรม
- การยกระดับ Machine Vision ด้วย AI: เพื่อควบคุมคุณภาพอย่างแม่นยำ
- การฝังระบบ Predictive Maintenance ที่ขับเคลื่อนด้วย AI: เพื่อลดการหยุดทำงานให้เป็นศูนย์
- การเสริมพลังระบบอัตโนมัติบนคลาวด์: ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง
- การสร้างหุ่นยนต์อุตสาหกรรมอเนกประสงค์: เพื่อเพิ่มความสามารถในการปรับตัว
- การเพิ่มประสิทธิภาพซัพพลายเชน: ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์
- การเสริมสร้างการสื่อสารในอุตสาหกรรม: ด้วยการเชื่อมต่อ 5G
- การพัฒนากระบวนการผลิตด้วย Digital Twins และสายการผลิตอัตโนมัติ
รายงานเจาะลึกว่า ศูนย์กลางระบบอัตโนมัติกำลังกลายเป็นแหล่งรวมความร่วมมือทางอุตสาหกรรมที่สำคัญ โดยนำภาคส่วนหลัก ๆ เช่น การผลิต วิศวกรรมอุตสาหการ ไอที และการจัดการพลังงานมารวมกัน ศูนย์กลางเหล่านี้จะสามารถรวมบริษัท รัฐบาล และนักวิจัย เพื่อพัฒนาบริการระบบอัตโนมัติที่ “ล้ำสมัย” กำหนดมาตรฐานแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด และเร่งการนำหุ่นยนต์ยุคใหม่มาใช้
F&S ยังเน้นย้ำถึงเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยชี้ว่า AI-driven Machine Vision กำลังปฏิวัติการควบคุมคุณภาพ ตรวจจับข้อบกพร่องขนาดเล็กได้อย่างแม่นยำในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และยา อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นในระบบนิเวศจะต้องลงทุนในการตรวจสอบด้วย AI การอัปเกรดระบบ และระบบอัตโนมัติอัจฉริยะเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
โรงงานต่าง ๆ ยังถูกมองว่าจะสามารถลดการหยุดทำงานที่ไม่คาดคิดที่มีค่าใช้จ่ายสูงได้ด้วย AI-driven Predictive Maintenance เซ็นเซอร์อัจฉริยะและอัลกอริธึม AI ถูกนำมาใช้มากขึ้นเพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพของอุปกรณ์แบบเรียลไทม์ คาดการณ์ความล้มเหลวก่อนที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร ลดค่าซ่อม และรับประกันวงจรการผลิตที่ไม่หยุดชะงัก
สำหรับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แพลตฟอร์มระบบอัตโนมัติบนคลาวด์ถูกมองว่ามีศักยภาพในการปฏิวัติประสิทธิภาพทางอุตสาหกรรม โดยการรวมข้อมูลจากหุ่นยนต์ AI และ Internet of Things (IoT) ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ที่ได้รับจากระบบเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ติดตามประสิทธิภาพจากระยะไกล และปรับขนาดระบบอัตโนมัติได้อย่างคล่องตัว เมื่อระบบนิเวศคลาวด์พัฒนาขึ้น F&S มองว่าจุดสนใจจะเปลี่ยนไปสู่การบูรณาการ Edge-Cloud การวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และการเสริมสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งจะช่วยให้ระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรมมีความชาญฉลาด รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น
Predictive Analytics ถูกมองว่าจะทำให้ซัพพลายเชนมีความชาญฉลาดมากขึ้น F&S ระบุว่า การคาดการณ์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI กำลังลดความไร้ประสิทธิภาพ ป้องกันการขาดแคลนสินค้าคงคลัง และรับประกันการส่งมอบแบบ Just-in-Time รายงานเน้นย้ำว่า ธุรกิจต่าง ๆ กำลังใช้ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์เพื่อทำให้เครือข่ายโลจิสติกส์ของตนมีความคล่องตัว คุ้มค่า และทนทานต่อการหยุดชะงักมากขึ้น
ในทำนองเดียวกัน เทคโนโลยี 5G กำลังปลดล็อกการสื่อสารทางอุตสาหกรรมแบบเรียลไทม์ที่รวดเร็วเป็นพิเศษ ทำให้หุ่นยนต์ อุปกรณ์ IoT และระบบคลาวด์สามารถทำงานได้โดยมี Latency ใกล้ศูนย์ ซึ่งนำไปสู่การประสานงานในโรงงานที่มีประสิทธิภาพสูง F&S กล่าวว่า การเชื่อมต่อที่ “พลิกเกม” นี้กำลังขับเคลื่อนระบบอัตโนมัติ ความแม่นยำ และความสามารถในการปรับขนาดในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
สุดท้าย รายงานสังเกตว่า ในขณะที่ระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI กำลังเปลี่ยนแปลงโรงงาน Digital Twins จะก้าวไปอีกขั้นด้วยการสร้างแบบจำลองเสมือนสำหรับการจำลองแบบเรียลไทม์ การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ และการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการ การรวมกันของการผลิตอัจฉริยะและการสร้างแบบจำลองดิจิทัลนี้ กำลังลดระยะเวลานำ ส่งเสริมประสิทธิภาพ และเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน
“การปฏิวัติระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรมไม่ได้เพิ่งเริ่มต้นขึ้น แต่มันกำลังเร่งตัวขึ้น” Priyajeet Surana ผู้จัดการฝ่าย Content Innovation ของ F&S กล่าว “บริษัทที่ยอมรับความแม่นยำที่ขับเคลื่อนด้วย AI ระบบอัตโนมัติบนคลาวด์ และการเชื่อมต่อที่ขับเคลื่อนด้วย 5G กำลังนำไปสู่ยุคใหม่ของการผลิต อนาคตของ Industry 4.0 เป็นของผู้สร้างสรรค์นวัตกรรม”