BOI เผยยอดยื่นขอลงทุนปี 2567 พุ่ง 35% สูงสุดในรอบ 10 ปี ทะลุ 1 ล้านล้านบาท นำโดย FDI ขนาดใหญ่

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เผยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2567 พุ่ง 35% มูลค่า 1.14 ล้านล้านบาท (ประมาณ 33,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2557 นำโดยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ขนาดใหญ่ คือ ศูนย์ข้อมูล บริการคลาวด์ รวมถึงการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2567 พุ่งขึ้น 35% คิดเป็นมูลค่า 33,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2557 นำโดยโครงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ขนาดใหญ่จากผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก และโครงการเซมิคอนดักเตอร์ที่แข็งแกร่ง รวมถึงการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง

ในภาคดิจิทัล ซึ่งรวมทั้งศูนย์ข้อมูลและบริการคลาวด์ ก้าวขึ้นมาครองอันดับหนึ่งเป็นครั้งแรกในการจัดอันดับภาคส่วนตามมูลค่าเมื่อปีที่แล้ว โดยมีโครงการที่ได้รับคำมั่นสัญญาลงทุนรวม 243,300 ล้านบาท จำนวน 150 โครงการ โครงการสำคัญในภาคส่วนนี้ในปี 2567 ได้แก่ การยื่นขอจัดตั้งศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่จากหน่วยงานของบริษัทเทคโนโลยีและบริการคลาวด์ขนาดใหญ่ เช่น Google (Alphabet) จากสหรัฐอเมริกา NextDC จากออสเตรเลีย CtrlS Datacenters จากอินเดีย และ GDS IDC Services PTE Ltd. จากสิงคโปร์

กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่ดึงดูดการลงทุนสูงสุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อยู่ในอันดับที่ 2 เมื่อปีที่แล้ว โดยมี 407 โครงการ เป็นมูลค่า 231,700 ล้านบาท โครงการขนาดใหญ่ที่เห็นได้ชัดในปีที่แล้ว ได้แก่ การลงทุนของหน่วยงาน Foxsemicon Integrated Technology Inc. (Fiti Group) เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีความแม่นยำสูงสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และการลงทุนของ FT1 Corporation ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Hana Microelectronics และกลุ่ม ปตท. ในการผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนคาร์ไบด์ในประเทศไทยและสิงคโปร์

กลุ่มยานยนต์อยู่ในอันดับที่ 3 มี 309 โครงการ มูลค่า 102,400 ล้านบาท ส่วนกลุ่มการเกษตรและอาหาร อยู่ในอันดับที่ 4 มี 329 โครงการ มูลค่า 87,600 ล้านบาท รองลงมา คือ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มี 235 โครงการ มูลค่ารวม 49,100 ล้านบาท

ในเดือนธันวาคม คณะกรรมการนโยบายเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง หรือคณะกรรมการเซมิคอนดักเตอร์ ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่ของไทย ได้อนุมัติกรอบกลยุทธ์ของภาคส่วนนี้และการพัฒนาแรงงานที่มีทักษะ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับคลื่นลูกใหม่ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลประเมินว่าสามารถดึงดูดการลงทุนได้ 5 แสนล้านบาท ภายในปี 2572

ส่วนการคาดหมายการลงทุนในภาคส่วนอื่นๆ ที่มีแนวโน้มเติบโตในปี 2568 ได้แก่ การผลิตพลังงานสะอาด ซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความต้องการจากภาคดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเติบโตที่เห็นได้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะที่อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีอาหาร รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์และการท่องเที่ยว ยังมีแนวโน้มเติบโตสูงในปีนี้ด้วย

ยอดการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนทุกภาคส่วนในช่วงเดือนมกราคม-ธันวาคม 2567 เพิ่มขึ้น 40% เป็น 3,137 โครงการ จากเมื่อก่อน 2,235 โครงการในช่วงเดียวกันของปี 2566 มูลค่าการลงทุนที่ปรับแล้วรวมของยอดการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งปี 2566 อยู่ที่ 846,500 ล้านบาท

ยอดขอรับการส่งเสริมโดย FDI เพิ่มขึ้น 25%

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศคิดเป็น 73% ของมูลค่าการยื่นขอทั้งหมดในปี 2567 เป็นการเพิ่มขึ้น 25% จากช่วงปีก่อน

สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมากที่สุด โดยมี 305 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นโครงการด้านบริการดิจิทัลและการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 357,500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 43% ของมูลค่าการยื่นขอทั้งหมด การลงทุนส่วนใหญ่มาจากบริษัทจีนและสหรัฐฯ ที่ใช้สิงคโปร์เป็นฐานในภูมิภาค สะท้อนถึงการแข่งขันระหว่างสองประเทศในภาคเทคโนโลยี

จีนแผ่นดินใหญ่เป็นแหล่งลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศรายใหญ่เป็นอันดับสอง โดยมีโครงการ 810 โครงการ มูลค่ารวม 174,600 ล้านบาท นำโดยธุรกิจผลิต PCB ยานยนต์ และผลิตภัณฑ์โลหะ

รองลงมา คือ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง มี 177 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 82,300 ล้านบาท รวมถึงการผลิตเวเฟอร์แฟบ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ตลอดจนการผลิตศูนย์ข้อมูล PCB สารเคมี และพลาสติก

บริษัทที่มีฐานอยู่ในภูมิภาคไต้หวันได้ยื่นขอส่งเสริมการลงทุน 126 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 5 หมื่นล้านบาท โดยเป็นโครงการมูลค่าสูงในการผลิตอุปกรณ์และส่วนประกอบเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง แผงวงจรพิมพ์ และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ

ญี่ปุ่นอยู่อันดับที่ 5 มี 271 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 49,100 ล้านบาท โดยโครงการส่วนใหญ่อยู่ในสาขาที่มีความเชี่ยวชาญ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และส่วนประกอบ อุตสาหกรรมการผลิตรถจักรยานยนต์ อุตสาหกรรมยางเครื่องบิน อุตสาหกรรมกล้องดิจิทัลและเครื่องปรับอากาศ ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมของไทยทั้งสิ้น

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า “การตอบสนองของนักลงทุนต่อนโยบายของเราในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่ปลอดภัยและเป็นกลางสำหรับภาคส่วนดิจิทัลขนาดใหญ่และโครงการอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะนั้นเป็นที่น่าประทับใจมากในปีที่แล้ว โดยมีโครงการสำคัญจากกลุ่มต่างๆ เช่น Google ในด้านบริการคลาวด์ และ Foxsemicon ในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ เราคาดว่าแนวโน้มนี้จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในปี 2568 หลังจากการจัดตั้งคณะกรรมการเซมิคอนดักเตอร์ของไทย และความจำเป็นที่บริษัทต่างๆ จะลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน”

นายนฤตม์ กล่าวเสริมอีกว่า “ภายใต้การประสานงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาล บีโอไอจะจัดโรดโชว์ไปยังตลาดแหล่งลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่สำคัญและศูนย์กลางเทคโนโลยี ได้แก่ จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรป เพื่อส่งเสริมนโยบายและพบปะนักลงทุนที่มีศักยภาพ” “ในช่วงปลายเดือนนี้ บีโอไอจะเข้าร่วมกับคณะผู้แทนของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ในการประชุมเศรษฐกิจโลกที่เมืองดาวอส”

ที่มา: Thailand Board of Investment

About pawarit

Check Also

Samsung ชวน OpenAI และ Softbank ตั้งพันธมิตร AI เกาหลี-สหรัฐฯ-ญี่ปุ่น

รายงานจากสื่อเกาหลีใต้ระบุว่า อี แจ-ยง ประธาน Samsung Electronics ได้เชิญ CEO ของ OpenAI และ Softbank Group ของญี่ปุ่นเข้าร่วมการประชุมส่วนตัวในกรุงโซล เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการสำหรับพันธมิตรเกาหลี-อเมริกา-ญี่ปุ่นในด้านปัญญาประดิษฐ์และ …

ABB จับมือ Sage Geosystems พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ

ความร่วมมือนี้จะช่วยให้ ABB สนับสนุนข้อตกลงของ Sage กับ Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram ในการส่งพลังงานความร้อนใต้พิภพพื้นฐานสูงถึง 150 เมกะวัตต์ในพื้นที่ทางตะวันออกของเทือกเขาร็อกกีในสหรัฐอเมริกา คาดว่าโครงการระยะแรกจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2027